ครูปรีชา หิ้วข้าวผัด โอเลี้ยง เยี่ยม “ทนายตั้ม” ลั่น ความจริงคือความจริง
ครูปรีชา หิ้วข้าวผัด โอเลี้ยง เยี่ยม “ทนายตั้ม” ลั่น ความจริงคือความจริง
วันนี้ (8 พ.ย.2567) เจ้าหน้าที่ตำรวจคุมตัวนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม และภรรยา ลงมาจากอาคารด้านบนกองปราบปราม เพื่อสอบปากคำต่อ และเตรียมส่งตัวฝากขังต่อศาลอาญา วันนี้ หลังจากกรณีตำรวจกองปราบนำกำลังจับกุม ตามหมายจับศาลอาญา เมื่อวันที่ 7 พ.ย.ที่ผ่านมา ในข้อหา ร่วมกันฟอกเงิน ครูปรีชา หลังพบหลักฐานว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีดังกล่าว โดยทนายตั้มและภรรยาให้การปฏิเสธตลอดทุกข้อกล่าวหา
ขณะที่ นายปรีชา ใคร่ครวญ หรือ ครูปรีชา ซึ่งเป็นคู่กรณีในคดีหวย 30 ล้านบาท เปิดเผยว่าวันนี้ได้มาตามนัดที่พนักงานสอบสวน บก.ปปป. ได้นัดตนมาคัดสำนวนคดีหวย 30 ล้านบาท ซึ่งคดีดังกล่าวเป็นคดีที่ตนเคยร้องทุกข์กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งทนายตั้มเป็นทนายให้กับ ร.ต.ท.จรูญ วิมูล หรือหมวดจรูญ แต่ตัวทนายตั้มมาล้วงความลับจากฝั่งตนเอง ซึ่งเชื่อว่ามีการซื้อสำนวนคดีกันเกิดขึ้นแน่นอน เพราะตอนที่ฝั่งคู่กรณีได้เอกสารสำนวนคดีนี้มา เชื่อว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย
และเป็นความบังเอิญที่ได้มีโอกาสเยี่ยมทนายตั้มด้วย
จึงได้ซื้อข้าวผัดและโอเลี้ยงมาเยี่ยมทนายตั้ม พร้อมระบุว่ามาด้วยกัลยาณมิตรที่ดี ด้วยมิตรภาพ และมาด้วยแรงขับเคลื่อนคดี ครูปรีชา ไม่ได้ผูกใจเจ็บ และไม่ได้มาเยาะเย้ย ไม่พูดถึงคดีความ พูดถึงความเป็นพี่น้อง วันนี้ซื้อข้าวผัด และโอเลี้ยงมาฝาก ให้สู้คดีให้เต็มที่ พร้อมกับให้กำลังใจเจ๊อ้อย เพราะเป็นผู้ถูกกระทำเหมือนกัน และสู้คดีอย่าประมาท หลังจากที่นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม ถูกตำรวจจับกุม พร้อม นางปทิตตา ภรรยา กลางถนน ขณะเดินทางอยู่ใน จ.ฉะเชิงเทรา ครูปรีชาซึ่งเป็นคู่กรณีในคดีหวย 30 ล้าน ก็ได้ออกมาพูดถึงทนายตั้มว่า
“หลังจากเห็นข่าว ก็อยากจะเดินทางไปที่กองปราบปรามด้วยตัวเอง ว่า ทนายตั้ม โดนเหมือนกับที่ตนเองเคยโดนคดีหวย 30 ล้านหรือไม่ ซึ่งคดีที่ทนายตั้มโดน แม้จนถึงตอนนี้ คดีจะยังไม่สิ้นสุด แต่ตนเชื่อว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องมีประจักษ์พยานหลักฐานต่างๆชัดเจน จนนำมาสู่การออกหมายจับดังกล่าว เท่าที่ได้ติดตามข่าวของทนายตั้มมาในช่วง 1-2 วันนี้ สังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน ว่า ทนายตั้มมีสีหน้าที่ค่อนข้างเครียด แตกต่างไปจากปกติ ที่เป็นคนชอบให้สัมภาษณ์ชอบออกสื่อ อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ถือว่าเป็นผลของการกระทำ ไปทำอะไรไว้ก็ต้องได้ผลของการกระทำแบบนั้น”
ที่ผ่านมาเคยทำกับครูปรีชาเอาไว้เยอะ ครูปรีชา ทุกวันนี้ก็โดนกับตนเองบ้าง ยกตัวอย่างเช่น คดีหวย 30 ล้าน ที่ทนายตั้มไปยื่นฟ้องพยานฝั่งของครูปรีชาจำนวน 10 ปากเรียกเงินคนละ 1 ล้านบาท ซึ่งพฤติกรรมแบบนี้ไม่มีทนายที่ไหนเขาทำกัน เพราะพยานถือเป็นผู้บริสุทธิ์ การที่ทนายตั้มให้ลุงจรูญยื่นฟ้องพยานพร้อมเรียกเงิน 10 ล้าน แถมยังมีพฤติกรรมไปข่มขู่พยาน โดยบอกว่าหากทนายฝั่งครูปรีชาคนไหนไม่อยากเสียเงิน 1 ล้าน
ก็ให้มากราบขอโทษลุงจรูญแล้วจะถอนฟ้องให้
ทำให้มีพยานฝั่งของครูปรีชาหลายคน ต้องยอมไปกล่าวคำขอโทษลุงจรูญต่อหน้าสื่อ ทั้งที่พยานเหล่านี้ไม่ได้ทำอะไรผิดและให้การไปตามความเป็นจริงที่พบเห็นมา แต่ที่ต้องยอมขอโทษก็เพราะไม่อยากเดือดร้อนต้องไปต่อสู้คดีในชั้นศาล พฤติกรรมต่างๆเหล่านี้ ถือเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม และส่งผลมาถึงวันนี้ของทนายตั้มที่ตนเชื่อว่าเป็นผลกรรมที่ทำมาตลอด
หนึ่ง บางปู โพสต์สะใจ เตรียมซื้อข้าว-โอเลี้ยงไปเยี่ยม
ครูปรีชา ขณะที่ หนึ่ง บางปู คู่กรณีอีกคนของ ทนายตั้ม หลังก่อนหน้านี้ให้ทนายตั้มฟ้องหย่าสามี แต่กลับโดนเรียกเงินทำคดี 10 ล้านบาท แต่บอกว่า ทนายตั้มไม่มีการฟ้องร้องอะไรเลย ก่อนที่ทนายตั้มจะออกมาชี้แจงนั้น หนึ่ง บางปู โพสต์ข้อความผ่าน TikTok ระบุว่า “55555 สะใจโว้ย” หลังทนายตั้มถูกจับ พร้อมโพสต์คลิปบอกว่า ตั้งใจจะซื้อข้าวผัดกับโอเลี้ยงไปให้ทนายคนดังแต่ซื้อไม่ทัน เพราะอย่างน้อยก็เคยรู้จักกัน ตนไม่ได้เป็นโลกสวย แต่ที่ไปก็คงไม่ได้ไปเพื่อแสดงความยินดีแน่นอน
ลุงพล-ป้าแต๋น ให้กำลังใจ ทนายตั้ม
ด้าน นายไชย์พล วิภา หรือ ลุงพล และ นางสาวสมพร หลาบโพธิ์ หรือ ป้าแต๋น ที่เคยร่วมงานกับทนายตั้มในคดีการเสียชีวิตของน้องชมพู่ ซึ่งต่อมาได้ยุติความสัมพันธ์ หลังเรียกรับเงินจากแฟนคลับทำคดี 3 ล้านบาท เมื่อทนายตั้มถูกแจ้งความและถูกสังคมตั้งคำถาม ก่อนหน้านี้ ลุงพลเพิ่งออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อเมื่อเร็ว ๆ นี้ว่า ครูปรีชา ทนายตั้มเคยแนะนำตนให้ไปเรียนนิติศาสตร์ซึ่งเกี่ยวกับเรื่องกฎหมาย และยังพูดฝากมาถึงตนผ่านสื่อว่า เรียนเนติฯ อย่าไปเนรคุณใคร จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ เห็นแล้วว่าคำพูดนี้กลับย้อนไปหาเขาซึ่งเขาเคยดูถูกตนไว้เมื่อครั้งหนึ่ง